ที่มา การประชุมเชิงวิชการ
เรื่อง Current Practice in Respiratory Care for Adult and Children (การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจในเด็ก)
ผู้จัด คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
สถานที่ ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพมหานคร
วันที่ 5 - 7 สิงหาคม 2558
ผู้สรุปประเด็นความรู้ นางสาวศิริธิดา ศรีพิทักษ์
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจในเด็ก
(Nursing care of mechanically ventilated in pediatric patients)
1. การดูแลท่อหลอดลมคอ โดยการยึดให้มั่นคงป้องกันการเลื่อนหลุดโดยการเปลี่ยน cord tape และพลาสเตอร์ที่ใช้ยึดหลอดลมคอเมื่อหลวมหรือสกปรก หรือการถ่ายภาพรังสีทรวงอกเพื่อยืนยันตำแหน่งปลายท่อหลอดลม
2. การจัดท่าในผู้ป่วยเด็กที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ควรจัดให้นอนศีรษะสูง 30-45 องศา ให้ศีรษะตรง และเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมง
3. การดูดเสมหะ ในผู้ป่วยเด็กมีโอกาสท่อหลอดลมอุดตันได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากขนาดท่อหลอดลมมีขนาดเล็ก ดังนั้นการดูดเสมหะจึงมีความจำเป็นมากในการป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน และต้องยึดหลัก sterile ความดันที่ใช้ในการดูเสมหะในเด็กโต ใช้ความดันประมาณ 100-120 มิลลิเมตรปรอท ขณะปิด wall suction ในส่วนของเด็กเล็กใช้ความดันประมาณ 80-100 มิลลิเมตรปรอท ขณะปิด wall suction ภายหลัง suction ควรเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนที่หายใจเข้าเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ และบีบ bag ประมาณ 1 นาที หลังดูดเสมหะในแต่ละครั้ง
4. ปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยเด็กใช้เครื่องช่วยหายใจ
4.1 ผู้ป่วยได้รับ tidal volume หรือ pressure ไม่เพียงพอ วิธีการแก้ไขคือ
- ปลดเครื่องช่วยหายใจออกจากผู้ป่วยและบีบ self inflating bag พร้อมออกซิเจนเพื่อช่วยการหายใจ
- ใช้ manometer วัดความดันที่ผู้ป่วยต้องการ
- ตรวจดูท่อหลอดคอ cuff pressure หรือหารอยรั่วของอากาศ รวมทั้งรอยข้อต่อสายต่างๆ ของเครื่องช่วยหายใจ
4.2 ผู้ป่วยมี airway pressure เพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขคือ
- ดูดเสมหะอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับการกายภาพทรวงอก
- ตรวจดูสภาพของท่อหลอดลมคอว่ามีการหักพับงอหรือไม่ หรือการคั่งของน้ำตามท่อต่างๆของเครื่องช่วยหายใจ
- ประเมินลักษณะการหายใจ พยาธิสภาพของปอด การหายใจสัมพันธ์กับเครื่องหรือไม่
- พยายามทำให้ผู้ป่วยสงบ โดยปลอบโยน หรือในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องให้ยาพวก sedative ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์
4.3 การเกิดภาวะปอดอักเสบระหว่างใช้เครื่องช่วยหายใจ หลักการป้องกันที่สำคัญคือการล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย การดูดเสมหะโดยยึดหลัก sterile การเปลี่ยน ventilator circuits เมื่อมีความสกปรกเป็นต้น
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ เป็นการเปลี่ยนจากการช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ เข้าสู่ตัวผู้ป่วยเอง โดยลดระดับการช่วยหายใจจากเครื่องลงเรื่อยๆ จนผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้
ขั้นตอนการดำเนินการลดการช่วยหายใจ
1. ประเมินความพร้อมในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
- ผู้ป่วยพ้นภาวะระบบหายใจล้มเหลว
- มี oxygenation เพียงพอ ได้แก่
PaO2 ≥ 60 มม.ปรอท, Fi O2 ≤ 0.4, PEEP ≤5-8 ซม.น้ำ, PaO2/ Fi O2 200-300
- ไม่มีภาวะ respiratory acidosis ที่รุนแรง
- อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 140 ครั้ง/นาที
- ความดันเลือดคงที่ ไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวขาดเลือด
- Hb ≥ 8-10 g/dL
- มีภาวะเมตาบอลิคปกติ
- ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวเพียงพอ
2. เข้าสู่กระบวนการหย่าเครื่องช่วยหายใจ โดยจะเริ่มลดระดับการใช้เครื่องช่วยหายใจ mode ที่นิยมใช้ในการ wean ได้แก่ SIMV, CPAP,Pressure support mode, Automate weaning mode
3. ทดลองให้ผู้ป่วยหายใจด้วยตนเอง วิธีที่นิยมใช้คือ T-piece weaning เนื่องจากใกล้เคียงกับการหายใจเองมากที่สุด หรือการทำ T-tube trail per day ถ้าผู้ป่วยสามารถทดลองหย่าเครื่องได้ 30-120 นาที มีโอกาสที่จะเลิกใช้เครื่องช่วยหายใจได้
4. พิจารณาถอดท่อช่วยหายใจ ภายหลังการถอด endotracheal tube ให้ประเมินเรื่องการอักเสบของกล่องเสียงด้วย